41 จำนวนผู้เข้าชม |
ฟันที่หายไป อาจพรากมากกว่ารอยยิ้ม
หลายคนคิดว่า “ฟันปลอม” เป็นเรื่องของคนแก่ หรือเรื่องของความสวยงาม
แต่ในความจริงแล้ว การสูญเสียฟันหนึ่งซี่ขึ้นไป มีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมมากกว่าที่คิด
เมื่อเราสูญเสียฟัน — ไม่ว่าจะจากฟันผุ เหงือกอักเสบ อุบัติเหตุ หรืออายุที่มากขึ้น —
ระบบการบดเคี้ยวจะเริ่มทำงานผิดปกติทันที ร่างกายไม่สามารถบดอาหารให้ละเอียดได้
ส่งผลให้ การย่อยไม่สมบูรณ์ การดูดซึมสารอาหารลดลง และระบบทางเดินอาหารทำงานหนักขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ฟันที่หายไปจะทำให้ กล้ามเนื้อใบหน้าเหี่ยวย่น แก้มตอบ ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย
และที่สำคัญคือ ฟันที่เหลืออยู่จะเริ่มล้ม เอียง หรือสบฟันผิดตำแหน่ง
ทำให้การเคี้ยวอาหารและการออกเสียงแย่ลงเรื่อย ๆ
การใส่ฟันปลอมจึงไม่ใช่เพียง “เรื่องความงาม” แต่คือการ คืนสมดุลให้ระบบทั้งปากและร่างกาย
ทำไม “การใส่ฟันปลอม” ถึงสำคัญกว่าที่คิด
1. ฟันปลอมช่วยให้คุณ “เคี้ยวได้ดีขึ้น” และระบบย่อยทำงานเป็นปกติ
ฟันคือจุดเริ่มต้นของการย่อยอาหาร การบดให้ละเอียดก่อนกลืน
หากขาดฟันไปหนึ่งซี่ การเคี้ยวจะเริ่มไม่สมดุล
ถ้าขาดหลายซี่ การย่อยจะยิ่งมีปัญหาจนเกิดอาการแน่นท้อง กรดไหลย้อน หรือท้องอืดได้
ฟันปลอมที่ออกแบบดีจะช่วยคืนแรงบดเคี้ยวให้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ
ช่วยให้คุณกินได้ทุกอย่าง — จากข้าวเหนียวจนถึงสเต๊ก — โดยไม่ต้องกลัวฟันหลุดหรือเคี้ยวไม่ขาด
2. ฟันปลอมช่วยรักษา “รูปหน้าและบุคลิกภาพ”
เมื่อไม่มีฟัน ฟันข้างเคียงจะล้มเข้าช่องว่าง เหงือกและกระดูกจะยุบตัว
ทำให้แก้มตอบ ร่องน้ำหมากลึก หน้าดูโทรมและแก่กว่าอายุจริง
แต่เมื่อใส่ฟันปลอม เหงือกและกล้ามเนื้อรอบปากจะกลับมารับแรงอย่างสมดุล
ทำให้ใบหน้าดูเต็มขึ้น ยิ้มสวย และมั่นใจเวลาพูดคุยกับคนอื่น
3. ฟันปลอมช่วย “ป้องกันฟันจริงที่เหลืออยู่”
ช่องว่างจากฟันที่หายไปจะทำให้ฟันข้างเคียงรับแรงมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดฟันโยก เหงือกร่น และอาจสูญเสียฟันเพิ่ม
ฟันปลอมจึงเปรียบเหมือน “ตัวรับแรงแทน” ที่ช่วยแบ่งภาระให้ฟันที่เหลืออยู่
รู้จัก “ประเภทของฟันปลอม” ที่เหมาะกับคุณ
ในปัจจุบัน การใส่ฟันปลอมมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความต้องการ และสภาพช่องปากของแต่ละคน
1. ฟันปลอมถอดได้ (Removable Denture)
เหมาะกับผู้ที่สูญเสียฟันหลายซี่ หรือทั้งปาก
ทำจากอะคริลิกหรือโลหะผสม น้ำหนักเบา ถอดล้างได้
ข้อดี : ราคาประหยัด ดูแลง่าย
ข้อควรระวัง : อาจต้องปรับฐานฟันปลอมเป็นระยะ หากเหงือกยุบตัว
2. ฟันปลอมติดแน่น (Fixed Bridge / Crown & Bridge)
ใช้วิธีกรอฟันข้างเคียงแล้วทำสะพานฟัน
ให้ความรู้สึกใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด
ไม่ต้องถอดออกมาทำความสะอาด
ข้อดี : ไม่ต้องถอดเข้าออก
ข้อเสีย : อาจต้องกรอฟันข้างเคียง จึงต้องทำโดยทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง
3. ฟันปลอมแบบรากเทียม (Implant Denture)
เทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้รากเทียมไทเทเนียมฝังลงในกระดูก
ให้ความรู้สึก “เหมือนฟันจริง” ทั้งการเคี้ยวและการพูด
ข้อดี : อายุการใช้งานยาวนานกว่า 10–20 ปี เหมือนฟันธรรมชาติ บดเคี้ยวได้ดี
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความมั่นคง ไม่ต้องถอดออก
“ไม่ใส่ฟันปลอม” เสี่ยงอะไรบ้าง?
1. กระดูกขากรรไกรละลาย
เมื่อไม่มีฟัน แรงกระแทกจากการเคี้ยวจะหายไป กระดูกบริเวณนั้นจะเริ่มละลาย ทำให้เหงือกยุบ
หากปล่อยไว้นาน จะทำให้ไม่สามารถใส่ฟันปลอมได้พอดีในอนาคต
2. ฟันข้างเคียงล้ม เอียง และสบฟันผิดปกติ
ฟันข้างที่เหลือจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าช่องว่าง ทำให้เกิดการสบฟันผิด
เคี้ยวอาหารไม่ดี ปวดขากรรไกร หรือเจ็บเวลาเคี้ยว
3. ปัญหาเรื่องการพูดและความมั่นใจ
ฟันหน้าที่หายไปทำให้พูดไม่ชัด หรือหลีกเลี่ยงการยิ้ม
สิ่งเหล่านี้กระทบโดยตรงกับความมั่นใจในสังคมและการทำงาน
4. ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักขึ้น
เพราะอาหารไม่ถูกบดให้ละเอียดก่อนกลืน ทำให้ลำไส้และกระเพาะต้องทำงานหนัก
บางคนเกิดกรดไหลย้อน ท้องอืด หรือท้องผูกเรื้อรัง
ขั้นตอน “การใส่ฟันปลอม” เริ่มต้นยังไง
“ฟันปลอมที่ดี” ต้องเป็นอย่างไร?
เคล็ดลับ: ฟันปลอมที่ดีไม่ใช่แค่ขึ้นอยู่กับวัสดุ แต่ขึ้นอยู่กับ “ประสบการณ์ของทันตแพทย์”
เพราะการออกแบบแรงบด เค้าโครงฟัน และการเลือกวัสดุต้องสมดุลระหว่าง “ความสวย ความแข็งแรง และสุขภาพเหงือก”
ดูแลฟันปลอมอย่างไรให้อยู่กับคุณได้นาน
สุขภาพดี เริ่มต้นที่ “ยิ้มที่มั่นใจ”
อย่าปล่อยให้ช่องว่างของฟันกลายเป็นช่องว่างในชีวิต
การใส่ฟันปลอมที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณ กินได้ทุกอย่าง พูดได้ชัด ยิ้มได้เต็มที่ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
เพราะ “รอยยิ้มที่มั่นใจ” คือพลังสำคัญในการสร้างความสุขให้ทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
นัดคิวปรึกษากับคุณหมอ และสอบถามได้ที่
085-5617962
@dentalprotect